ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ
การนำไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
1. ครูสามารถใช้หลักการเรียนรู้ของทฤษฎีทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก ทั้งทางด้านดีและไม่ดี รวมทั้งเจตคติต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น การเรียน กิจกรรมการเรียน ครูผู้สอน เป็นต้น เนื่องจากผู้เรียนจะได้รับการวางเงื่อนไขจากสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น ในโรงเรียน ครู ชั้นเรียน เนื้อหาวิชาเรียน เพื่อนนักเรียน เกือบตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น เด็กคนหนึ่งมีเจตคติที่ไม่ดีต่อวิชาคณิตสาสตร์ อันนี้อาจจะอันเนื่องมาจากเขาประสบความล้มเหลวในการสอบวิชานี้ มาโดยตลอดหรือมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเวลาตอนเช้า เนื่องจากเป็นเวลาที่ต้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ต้องเจอกับครูผู้สอนที่สอนดุ เขาถูกทำโทษบ่อยๆ
2. ครูใช้หลักการเรียนรู้ทฤษฎีปลูกฝังความรู้สึก เจตคติที่ดีในตัวผู้เรียน เนื้อหาวิชา ตัวครูผู้สอน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทางการเรียน ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนของนักเรียนในภานหลัง โดยการจัดบรรยากาศการเรียนการสอนมิให้เครียดเกินไป ให้นักเียนประสบผลสำเร็จในการเรียน พบแต่ความล้มเหลวน้อยลง
3. ครูควรตระหนักไว้อยู่เสมอว่า เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งซึ่งสามารถสร้างความรู้สึกอารมณ์กลัว ความวิตกกังวล ในตัวผู้เรียนได้ เช่น ครูที่ชอบดุ ตะโกน ตะหวาด และลงโทษนักเรียนอย่างรุนแรงอยู่บ่อยๆ นักเรียนจะเกิดความกลัวและวิตกกังวล ในทางตรงกันข้าม หากครูใช้วิธีการนุ่มนวล ให้ความอบอุ่น ชมเชยเด็กบ่อยๆ ผู้เรียนจะเกิดความพอใจ สบายใจ เพียงแค่เห็นหน้าครู เป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครูกับนักเรียน
4. ครูควรป้องกันมิให้นักเรียนพบเเต่ความล้มเหลว เนื่องจากความล้มเหลวนี้ สัมพันธ์กับความวิตกกังวล เมื่อเกิดความวิตกกังวลแล้ว จะส่งผลให้ประสิทธภาพการเรียนรู้ที่ตำ่ ครูสามารถเเก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เช่น เมื่อเด็กเกิดความวิตกกังวลในการสอบ ครูก็ควรที่จะให้กำลังใจเด็กนักเรียน
ทฤษฎีการเรียนรู้ของวัตสัน
การนำไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
1.ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล
ความแตกต่างทางด้านอารมณ์มีแบบแผนการตอบสนองได้ไม่เท่ากัน
จำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพทางอารมณ์ผู้เรียนว่าเหมาะสมที่จะสอนเนื้อหาอะไร
2.การวางเงื่อนไข
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ด้วย
โดยปกติผู้สอนสามารถทำให้ผู้เรียนรู้สึกชอบหรือไม่ชอบเนื้อหาที่เรียนหรือสิ่งแวดล้อมในการเรียน
3.การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข
ผู้เรียนที่ถูกวางเงื่อนไขให้กลัวผู้สอน
เราอาจช่วยได้โดยป้องกันไม่ให้ผู้สอนทำโทษ
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
การนำไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
1.เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
2.สำรวจความพร้อมหรือการสร้างความพร้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียน
- การสอนให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ต้องให้ผู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างถ่องแท้ และต้องให้ผู้เรียนฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
- การให้ผู้เรียนได้รับผลที่น่าพึงพอใจ จะช่วยให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์
การนำไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
1.
การใช้กฎการเรียนรู้ กฎที่ 1
คือ กฎการเสริมแรงทันทีทันใดมักใช้เมื่อต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว
เช่นทึกครั้งที่ผู้เรียนตอบคำถามถูก ครูจะรีบเสริมแรงทันที อาจเป็นคำชม
เครื่องหมายรูปดาว เป็นต้น ซึ่งเหมาะในการใช้กับเด็กเล็ก เช่น ชั้นอนุบาล
ประถม ส่วนกฎที่ 2
คือกฎการเสริมแรงเป็นครั้งเป็นคราวมักใช้เมื่อต้องการให้ผู้เรียนรู้เกิดการเรียนรู้นานต่อไปเรื่อย
ๆ แล้วแต่จะ
เหมาะสมของผู้เรียน และโอกาสที่จะใช้ซึ่งเหมาะสมสำหรับเด็กโต เป็นต้น
2. บทเรียนสำเร็จรูป (Programmed Learning) บทเรียนสำเร็จเริ่มขึ้นเมื่อปี
ค.ศ. 1954 จากแนวความคิดของสกินเนอร์ จากทฤษฎีการวางเงื่อนไขในห้องเรียน
ผู้เรียนแต่ละคนได้รับการเสริมแรงน้อยและยังห่างจากเวลาที่แสดงพฤติกรรม
เป็นเวลานานเกินไปจนขาดประสิทธิภาพเพื่อแก้ไขปัญหานี้เขาจึงเสนอบทเรียนสำเร็จรูปโดยมีจุดประสงค์ว่าผู้เรียนจะได้รับการเสริมแรงทันทีที่แสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องบทเรียนจะแบ่งเนื้อหาเป็นหน่วยและข้อย่อย
ๆ มี 2 ลักษณะ คือ
2.1 การจัดเรียงบทเรียนเป็นเส้นตรง (Linear Programming) ลำดับขั้นของบทเรียนจากง่ายไปยากโดยเริ่มจากหน่วยแรกไปเรื่อยตามลำดับโดยถือว่าการเรียนขั้นแรกเป็นพื้นฐานของขั้นตอนต่อไปและมีคำถามในลักษณะเติมคำในช่องว่างให้ผู้เรียนตอบ
มีคำเฉลยไว้ก่อนเมื่อตอบแล้วจึงเปิดดู
เหมาะสำหรับวิชาที่เรียงตามลำดับขั้นตอน
2.2 บทเรียนที่มีเป็นตอน (Branching Programming) เป็นบทเรียนที่ผู้เรียนมีโอกาสทีได้รับคำอธิบายเพิ่มเติมในกรณีที่ตอบคำถาไม่ถูก
ส่วนวิธีเรียนก็เรียงจากง่ายไปยากแต่ลักษณะคำถามจะเป็นแบบเลือกตอบ (Multiple Choice) เมื่อผู้เรียนตอบคำถามหมดแล้วจึงพลิกไปดูคำเฉลย
2.3 การปรับพฤติกรรม (Behavior Modification) คือการปรุงแต่งพฤติกรรมให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการซึ่งมี 3 ลักษณะคือ
2.3.1 การเพิ่มพฤติกรรมหรือคงพฤติกรรมเดิมที่เหมาะสมไว้
2.3.2 การสร้างเสริมพฤติกรรมใหม่
2.3.3 การลดพฤติกรรม
2.4 การสอนวิธีการพูด หรือที่เรียกว่าพฤติกรรมทางวาจา (Verbal Behavior) สกินเนอร์ได้ผลิตเครื่องบันทึกเสียงขึ้นในปี
ค.ศ. 1963 เพื่อใช้ฟังเสียง
การอ่านการพูดซึ่งเป็นประโยชน์มากในวงการด้านภาษา เข้ากล่าวว่า
ภาษาพูดเกิดขึ้นจากการเรียนรู้เมื่อได้รับการเสริมแรง
ทฤษฎีการเรียนรู้ของเบนดูรา
การนำไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
1.
ในห้องเรียนครูจะเป็นตัวแบบที่มีอิทธิพลมากที่สุด ครูควรคำนึงอยู่เสมอว่า
การเรียนรู้โดยการสังเกตและเลียนแบบจะเกิดขึ้นได้เสมอ
แม้ว่าครูจะไม่ได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ก็ตาม
2.
การสอนแบบสาธิตปฏิบัติเป็นการสอนโดยใช้หลักการและขั้นตอนของทฤษฎี
ปัญญาสังคมทั้งสิ้น ครูต้องแสดงตัวอย่างพฤติกรรมที่ถูกต้องที่สุดเท่านั้น
จึงจะมีประสิทธิภาพในการแสดงพฤติกรรมเลียนแบบ
ความผิดพลาดของครูแม้ไม่ตั้งใจ
ไม่ว่าครูจะพร่ำบอกผู้เรียนว่าไม่ต้องสนใจจดจำ
แต่ก็ผ่านการสังเกตและการรับรู้ของผู้เรียนไปแล้ว
ทฤษฎีการเรียนรู้ของเกสตัล
การนำไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
1.
ครูควรสร้างบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง
และมีอิสระที่จะให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ทั้งที่ถูกและผิด
เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูล และเกิดการหยั่งเห็น
2. เปิดโอกาสให้มีการอภิปรายในชั้นเรียน โดยใช้แนวทางต่อไปนี้
--เน้นความแตกต่าง
--กระตุ้นให้มีการเดาและหาเหตุผล
--กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม
--กระตุ้นให้ใช้ความคิดอย่างรอบคอบ
--กำหนดขอบเขตไม่ให้อภิปรายออกนอกประเด็น
3. การกำหนดบทเรียนควรมีโครงสร้างที่มีระบบเป็นขั้นตอน เนื้อหามีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน
4.
คำนึงถึงเจตคติและความรู้สึกของผู้เรียน
พยายามจัดกิจกรรมที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์
ผู้เรียนนำไปใช้ประโยชน์ได้
และควรจัดโอกาสให้ผู้เรียนรู้สึกประสบความสำเร็จด้วย
5. บุคลิกภาพของครูและความสามารถในการถ่ายทอด จะเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้เรียนมีความศรัทธาและครูจะสามารถเข้าไปอยู่ในLife space ของผู้เรียนได้
3.
ตัวแบบในชั้นเรียนไม่ควรจำกัดไว้ที่ครูเท่านั้น
ควรใช้ผู้เรียนด้วยกันเป็นตัวแบบได้ในบางกรณี
โดยธรรมชาติเพื่อนในชั้นเรียนย่อมมีอิทธิพลต่อการเลียนแบบสูงอยู่แล้ว
ครูควรพยายามใช้ทักษะจูงใจให้ผู้เรียนสนใจและเลียนแบบเพื่อนที่มีพฤติกรรม
ที่ดี มากกว่าผู้ที่มีพฤติกรรมไม่ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น