ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ
1.ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล
2.การวางเงื่อนไข เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์
3.การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข
4.การสรุปความเหมือนและการแยกความแตกต่าง
1. การนำความต้องการทางธรรมชาติของผู้เรียนมาใช้เป็นสิ่งเร้า
สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีเช่น
ถ้าเด็กชอบเล่นหุ่นยนต์
ครูควรสอนให้เด็กอ่านและเขียนคำศัพท์ต่างๆในบทเรียนโดยให้หุ่นยนต์เป็นรางวัล
การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
2.ในการสร้างพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดขึ้นในผู้เรียน ควรพิจารณาสิ่งจูงใจหรือสิ่งเร้าเร้าที่เหมาะสมกับภูมิหลังและความต้องการของผู้เรียนมาใช้เป็นสิ่งเร้าควบคู่ไปกับสิ่งเร้าวางเงื่อนไข เช่น ถ้าอยากให้นักเรียนตอบคำถาม ครูควรแสดงท่าทางของความอบอุ่นและให้กำลังใจจะทำให้เด็กเกิดความมั่นใจ ทำเช่นนี้สม่ำเสมอ
2.ในการสร้างพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดขึ้นในผู้เรียน ควรพิจารณาสิ่งจูงใจหรือสิ่งเร้าเร้าที่เหมาะสมกับภูมิหลังและความต้องการของผู้เรียนมาใช้เป็นสิ่งเร้าควบคู่ไปกับสิ่งเร้าวางเงื่อนไข เช่น ถ้าอยากให้นักเรียนตอบคำถาม ครูควรแสดงท่าทางของความอบอุ่นและให้กำลังใจจะทำให้เด็กเกิดความมั่นใจ ทำเช่นนี้สม่ำเสมอ
เด็กจะเกิดการเรียนรู้ และมีความคงทนในการแสดงพฤติกรรม
3. ขณะสอนครูควรสังเกตการกระทำหรือการเคลือนไหวของผู้เรียนว่ากำลังเกี่ยวพันกับสิ่งเร้าใดถ้าครูให้สิ่งเร้า
3. ขณะสอนครูควรสังเกตการกระทำหรือการเคลือนไหวของผู้เรียนว่ากำลังเกี่ยวพันกับสิ่งเร้าใดถ้าครูให้สิ่งเร้า
ที่เกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวนั้นน้อยกว่าก็จะไม่สามารถเปลี่ยนการกระทำของผู้เรียนได้
4.ในการสอน ควรวิเคราะห์งานออกเป็นส่วนย่อยๆและสอนหน่วยย่อยเหล่านั้นให้เด็กสามารถตอบสนองอย่างถูกต้องจริงๆหรือได้รับการเรียนรู้ที่ถูกต้องในทุกๆหน่วย
5. ในการจบบทเรียนไม่ควรปล่อยให้ผู้เรียน จบโดยได้คำตอบผิดๆหรือแสดงอาการตอบสนองผิดๆเพราะเขาจะเก็บ
4.ในการสอน ควรวิเคราะห์งานออกเป็นส่วนย่อยๆและสอนหน่วยย่อยเหล่านั้นให้เด็กสามารถตอบสนองอย่างถูกต้องจริงๆหรือได้รับการเรียนรู้ที่ถูกต้องในทุกๆหน่วย
5. ในการจบบทเรียนไม่ควรปล่อยให้ผู้เรียน จบโดยได้คำตอบผิดๆหรือแสดงอาการตอบสนองผิดๆเพราะเขาจะเก็บ
การกระทำครั้งสุดท้ายไว้ในความทรงจำใช้แบบแผนในการทำจนเป็นนิสัย
6. การสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ ในการสอน
6. การสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ ในการสอน
จึงควรมีการจูงใจผู้เรียน
ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคคของวัตสัน
1. ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล
ความแตกต่างทางด้านอารมณ์มีแบบแผน
การตอบสนองได้ไม่เท่ากัน
จำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพทางอารมณ์ผู้เรียนว่าเหมาะสมที่จะสอนเนื้อหาอะไร
2. การวางเงื่อนไข
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ด้วย
โดยปกติผู้สอนสามารถทำให้ผู้เรียนรู้สึกชอบหรือไม่ชอบเนื้อหาที่เรียนหรือสิ่งแวดล้อมในการเรียน
3. การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข
ผู้เรียนที่ถูกวางเงื่อนไขให้กลัวผู้สอน
เราอาจช่วยได้โดยป้องกันไม่ให้ผู้สอนทำโทษเขา
4. การสรุปความเหมือนและการแยกความแตกต่าง
เช่น การอ่านและการสะกดคำ ผู้เรียนที่สามารถสะกดคำว่า "round" เขาก็ควรจะเรียนคำทุกคำที่ออกเสียง o-u-n-d
ไปในขณะเดียวกันได้
เช่นคำว่า found, bound, sound, ground, แต่คำว่า wound (บาดแผล)
นั้นไม่ควรเอาเข้ามารวมกับคำที่ออกเสียง o
- u - n - d และควรฝึกให้รู้จักแยกคำนี้ออกจากกลุ่ม
ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์
1.
การใช้กฎการเรียนรู้ กฎที่ 1
คือกฎการเสริมแรงทันทีทันใดมักใช้เมื่อต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว
เช่นทึกครั้งที่ผู้เรียนตอบคำถามถูก ครูจะรีบเสริมแรงทันที อาจเป็นคำชม
เครื่องหมายรูปดาว เป็นต้น ซึ่งเหมาะในการใช้กับเด็กเล็ก เช่น ชั้นอนุบาล
ประถม ส่วนกฎที่ 2
คือกฎการเสริมแรงเป็นครั้งเป็นคราวมักใช้เมื่อต้องการให้ผู้เรียนรู้เกิดการเรียนรู้นานต่อไปเรื่อย
ๆ แล้วแต่จะ
เหมาะสมของผู้เรียน และโอกาสที่จะใช้ซึ่งเหมาะสมสำหรับเด็กโต เป็นต้น
2. บทเรียนสำเร็จรูป (Programmed Learning) บทเรียนสำเร็จเริ่มขึ้นเมื่อปี
ค.ศ. 1954 จากแนวความคิดของสกินเนอร์ จากทฤษฎีการวางเงื่อนไขในห้องเรียน
ผู้เรียนแต่ละคนได้รับการเสริมแรงน้อยและยังห่างจากเวลาที่แสดงพฤติกรรม
เป็นเวลานานเกินไปจนขาดประสิทธิภาพเพื่อแก้ไขปัญหานี้เขาจึงเสนอบทเรียนสำเร็จรูป
โดยมีจุดประสงค์ว่าผู้เรียนจะได้รับการเสริมแรงทันทีที่แสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องบทเรียนจะแบ่งเนื้อหาเป็นหน่วยและข้อย่อย
ๆ มี 2 ลักษณะ คือ
2.1 การจัดเรียงบทเรียนเป็นเส้นตรง (Linear Programming) ลำดับขั้นของบทเรียนจากง่ายไปยาก
โดยเริ่มจากหน่วยแรกไปเรื่อยตามลำดับโดยถือว่าการเรียนขั้นแรกเป็นพื้นฐานของขั้นตอนต่อไปและมีคำถามในลักษณะเติมคำในช่องว่างให้ผู้เรียนตอบ
มีคำเฉลยไว้ก่อนเมื่อตอบแล้วจึงเปิดดู
เหมาะสำหรับวิชาที่เรียงตามลำดับขั้นตอน
2.2 บทเรียนที่มีเป็นตอน (Branching Programming) เป็นบทเรียนที่ผู้เรียนมีโอกาสทีได้รับคำอธิบายเพิ่มเติมในกรณีที่ตอบคำถาไม่ถูก
ส่วนวิธีเรียนก็เรียงจากง่ายไปยากแต่ลักษณะคำถามจะเป็นแบบเลือกตอบ (Multiple Choice) เมื่อผู้เรียนตอบคำถามหมดแล้วจึงพลิกไปดูคำเฉลย
2.3 การปรับพฤติกรรม (Behavior Modification) คือการปรุงแต่งพฤติกรรมให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการซึ่งมี 3 ลักษณะคือ
2.3.1 การเพิ่มพฤติกรรมหรือคงพฤติกรรมเดิมที่เหมาะสมไว้
2.3.2 การสร้างเสริมพฤติกรรมใหม่
2.3.3 การลดพฤติกรรม
2.4 การสอนวิธีการพูด หรือที่เรียกว่าพฤติกรรมทางวาจา (Verbal Behavior) สกินเนอร์ได้ผลิตเครื่องบันทึกเสียงขึ้นในปี
ค.ศ. 1963 เพื่อใช้ฟังเสียง
การอ่านการพูดซึ่งเป็นประโยชน์มากในวงการด้านภาษา เข้ากล่าวว่า
ภาษาพูดเกิดขึ้นจากการเรียนรู้เมื่อได้รับการเสริมแรง
ทฤษฎีการเรียนรู้สัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดค์
1.เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
2.สำรวจความพร้อมหรือการสร้างความพร้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียน
- การสอนให้ผู้เรียนเกิดทักษะ
ต้องให้ผู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างถ่องแท้
และต้องให้ผู้เรียนฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
- การให้ผู้เรียนได้รับผลที่น่าพึงพอใจ จะช่วยให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ
ทฤษฎีการเรียนรู้ของอัลเบิร์ต แบนดูรา
1.
ในห้องเรียนครูจะเป็นตัวแบบที่มีอิทธิพลมากที่สุด ครูควรคำนึงอยู่เสมอว่า
การเรียนรู้โดยการสังเกตและเลียนแบบจะเกิดขึ้นได้เสมอ
แม้ว่าครูจะได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ก็ตาม
2.
การสอนแบบสาธิตปฏิบัติเป็นการสอนโดยใช้หลักการและขั้นตอนของทฤษฎี
ปัญญาสังคมทั้งสิ้น ครูต้องแสดงตัวอย่างพฤติกรรมที่ถูกต้องที่สุดเท่านั้น
จึงจะมีประสิทธิภาพในการแสดงพฤติกรรมเลียนแบบ
ความผิดพลาดของครูแม้ไม่ตั้งใจ
ไม่ว่าครูจะพร่ำบอกผู้เรียนว่าไม่ต้องสนใจจดจำ
แต่ก็ผ่านการสังเกตและการรับรู้ของผู้เรียนไปแล้ว
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์
1.
ครูควรสร้างบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง
และมีอิสระที่จะให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ทั้งที่ถูกและผิด
เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูล และเกิดการหยั่งเห็น
2. เปิดโอกาสให้มีการอภิปรายในชั้นเรียน โดยใช้แนวทางต่อไปนี้
--เน้นความแตกต่าง
--กระตุ้นให้มีการเดาและหาเหตุผล
--กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม
--กระตุ้นให้ใช้ความคิดอย่างรอบคอบ
--กำหนดขอบเขตไม่ให้อภิปรายออกนอกประเด็น
3. การกำหนดบทเรียนควรมีโครงสร้างที่มีระบบเป็นขั้นตอน เนื้อหามีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน 4. คำนึงถึงเจตคติและความรู้สึกของผู้เรียน พยายามจัดกิจกรรมที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ผู้เรียนนำไปใช้ประโยชน์ได้ และควรจัดโอกาสให้ผู้เรียนรู้สึกประสบความสำเร็จด้วย
5. บุคลิกภาพของครูและความสามารถในการถ่ายทอด จะเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้เรียนมีความศรัทธาและครูจะสามารถเข้าไปอยู่ในLife space ของผู้เรียนได้
ตัวแบบในชั้นเรียนไม่ควรจำกัดไว้ที่ครูเท่านั้น ควรใช้ผู้เรียนด้วยกันเป็นตัวแบบได้ในบางกรณี โดยธรรมชาติเพื่อนในชั้นเรียนย่อมมีอิทธิพลต่อการเลียนแบบสูงอยู่แล้ว ครูควรพยายามใช้ทักษะจูงใจให้ผู้เรียนสนใจและเลียนแบบเพื่อนที่มีพฤติกรรม ที่ดี มากกว่าผู้ที่มีพฤติกรรมไม่ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น