ทฤษฎีพัฒนาการตามวัยของโรเบิร์ต เจ. ฮาวิกเฮิร์ส
( Havighurst’s Theory of Development task )
( Havighurst’s Theory of Development task )
ศาสตราจารย์โรเบิร์ต
เจ. ฮาวิกเฮิร์ส (Robert havighurst 1953-1972 )
ได้ให้ชื่อว่า งานที่มนุษย์
ทุกคนจะต้องทำตามวัยว่า งานพัฒนาการ หมายถึง
งานที่ทุกคนจะต้องทำในแต่ละวัยของชีวิต สัมฤทธ์ผลของงาน พัฒนาการของงานแต่ละวัย
มีความสำคัญเพราะเป็นของการเรียนรู้งานพัฒนาขั้นต่อไป
ตัวแปรที่สำคัญในการพัฒนา
1.วุฒิภาวะทางร่างกาย
2.ความมุ่งหวังของสังคมและกลุ่มที่แต่ละบุคคลเป็นสมาชิกอยู่
3.ค่านิยม แรงจูงใจ ความมุ่งหวังส่วนตัว
3.1 ความพร้อมเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ( Natural Readiness Approach )
กลุ่มนี้นี้ความเห็นว่า ความพร้อมของบุคคลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อถึงวัยหรือเมื่อถึงระยะเวลาที่เหมาะสมที่จะทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดได้ดังนั้นในกลุ่มนี้จึงเห็นว่าการทำอะไรก็ตามไม่ควรจะเป็น
“การเร่ง” เพราะการเร่งจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น
ตรงกันข้ามอาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ ความท้อถอย และความเบื่อหน่าย เป็นต้น
3.2ความพร้อมเกิดจากการกระตุ้น ( Guided Experience Approach)
กลุ่มนี้มีความเห็นตรงข้ามกับกลุ่มแรก
คือ เห็นว่า ความพร้อมนั้นสามารถเร่งให้เกิดขึ้นได้ โดยการกระตุ้น การแนะนำ การจัดประสบการณ์อันจะก่อให้เกิดเป็นความพร้อมได้โดยตรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเด็ก ซึ่งจะเป็นวัยที่มีช่วงวิกฤติ (Critical
Period)ของการเรียนรู้และการปรับตัวเป็นอย่างมาก
4.สิ่งแวดล้อม ได้แก่ สิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้นๆ
ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต นอกจากนั้นสิ่งแวดล้อมยังหมายรวมถึงระบบและโครงสร้างต่างๆ
ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น เช่น ระบบครอบครัว ระบบสังคม ระบบวัฒนธรรม เป็นต้น
การแบ่งพัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 4 ด้านใหญ่ คือ
1.พัฒนาการทางร่างกาย เป็นการแบ่งพัฒนาการของมนุษย์ตามขั้นตอนในแต่ละวัน
2.พัฒนาการทางด้านความคิดหรือสติปัญญา (Cognitive Development) ของเพียเจท์
3.พัฒนาการทางด้านจิตใจ ซึ่งแบ่งย่อยเป็น
3.1 พัฒนาการทางด้านจิตใจ-เพศ (Psychosexual Development) ของฟรอยด์ (Freud)
3.2 พัฒนาการทางด้านจิตใจ-สังคม (Psychosocial
Development) ของอีริคสัน (Erikson)
4. พัฒนาการด้านจริยธรรม (Moral Development) ของโคลเบริ์ก
(Kohlberg)
พัฒนาการตามวัย
ตามความคิดของโรเบิร์ต
เจ. ฮาวิกเฮิร์ส ได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ออกเป็นวัยต่างๆ 6 ช่วงอายุ ดังนี้
1.วัยเด็กเล็ก-วัยเด็กตอนต้น ( แรกเกิด- 6 ปี
)
- เรียนรู้ที่จะเดิน
-เรียนรู้ที่จะรับประทาน
-เรียนรู้ที่จะสร้างความผูกพันตนเองกับพ่อแม่
เป็นต้น

2.วัยเด็กตอนกลาง ( 6-12 ปี )
-
เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากันได้กับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
- สามารถช่วยตนเองได้
- พัฒนาทักษะพื้นฐานในการอ่าน
เขียน และคำนวณ เป็นต้น
- รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
- สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นในสังคมได้
- มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมได้
- สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นในสังคมได้
- มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมได้

4.วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ( 18-35
ปี )
- มีการเลือกคู่ครอง
- รู้จักจัดการภารกิจในครอบครัว
- รู้จักจัดการภารกิจในครอบครัว

5.วัยกลางคน ( 35-60 ปี )
-
รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
-
เรียนรู้ที่จะยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
6.วัยชรา ( อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป )
-
สามารถรับตัวได้กับสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยลง
-
ปรับตัวได้กับการที่ต้องเกษียณอายุตลอดจนเงินเดือนลดลง
หลักพัฒนาการแนวคิด
-
สามารถที่จะแสดงบทบาททางสังคมได้เหมาะสมกับเพศของตน
-
เลือกและเตรียมตัวที่จะเลือกอาชีพในอนาคต
- พัฒนาทักษะทางเชาว์ปัญญาและความคิดรวบยอดต่างๆที่จำเป็นสำหรับสมาชิกของชุมชนที่มีสมรรถภาพ
-
มีความต้องการที่จะแสดงพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

ทฤษฎีพัฒนาการเชาวน์ปัญญาของเพียเจท์
( Piaget s
Theory Of Intellectual Development )
จอห์น เพียเจต์ (พ.ศ. 2439- 2523) Jean Piaget (ค.ศ.1896 –1980)
ผู้สร้างทฤษฎีพัฒนาการเชาวน์ปัญญาทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการเชาวน์ปัญญาที่ผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์สำหรับครู
คือ ทฤษฎีของนักจิตวิทยาชาวสวิส ชื่อ เพียเจต์ ( Piaget) เพียเจต์ได้รับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์สาขาสัตวิทยาที่มหาวิทยาลัย (Neuchatel) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม
และสิ่งแวดล้อม
ทฤษฎีการเรียนรู้ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
มีสาระสรุปได้ดังนี้
1. พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง
ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.1 ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว ( Sensori Motor
Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี
พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า
การเคลื่อนไหว การมอง การดู
ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ
เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด
เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง
ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้
มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น
สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ
เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก
เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง
ๆ
เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น
1.2 ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด ( Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก
2 ขั้น คือ
1.2.1 ขั้นก่อนเกิดสังกัป ( Preconceptual Thought ) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก
1.2.2 ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้น พัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อนการคิดหาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก
1.2.1 ขั้นก่อนเกิดสังกัป ( Preconceptual Thought ) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก
1.2.2 ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้น พัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อนการคิดหาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก
1.3 ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม(Concrete Operation
Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี
พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้
เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้
สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่างๆ
โดยที่เด็กเข้าใจว่าของแข็งหรือของเหลวจำนวนหนึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปร่างไปก็ยังมีน้ำหนัก
หรือปริมาตรเท่าเดิม สามารถที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ส่วนรวม
ลักษณะเด่นของเด็กวัยนี้คือ ความสามารถในการคิดย้อนกลับ
นอกจากนั้นความสามารถในการจำของเด็กในช่วงนี้มีประสิทธิภาพขึ้น
สามารถจัดกลุ่มหรือจัดการได้อย่างสมบูรณ์
สามารถสนทนากับบุคคลอื่นและเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดี
1.4 ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม(Formal Operational
Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี
ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด
คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง
เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่
สามารถที่จะคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎี
และเห็นว่าความเป็นจริงที่เห็นด้วยการรับรู้ที่สำคัญเท่ากับความคิดกับสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้
เด็กวัยนี้มีความคิดนอกเหนือไปกว่าสิ่งปัจจุบัน
สนใจที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน
หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมพัฒนาการทางการรู้คิดของเด็กในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษาไว้เป็นประสบการณ์
สำคัญที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม มี 6 ขั้น ได้แก่
1.4.1ขั้นความรู้แตกต่าง (Absolute
Differences) เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่างของสิ่งของที่มองเห็น
1.4.2 ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition) ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่างๆ มีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่
1.4.3 ขั้นรู้หลายระดับ ( Discrete Degree) เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลางระหว่างปลายสุดสองปลาย เช่น ปานกลาง น้อย
1.4.4 ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (Variation) เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้
1.4.2 ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition) ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่างๆ มีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่
1.4.3 ขั้นรู้หลายระดับ ( Discrete Degree) เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลางระหว่างปลายสุดสองปลาย เช่น ปานกลาง น้อย
1.4.4 ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (Variation) เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้
1.4.5 ขั้นรู้ผลของการกระทำ (Function) ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลง
1.4.6 ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน
1.4.6 ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน
2. ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่
3. กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะดังนี้
3.1 การซึมซับหรือการดูดซึม ( assimilation
)
3.2
การปรับและจัดระบบ ( accommodation )
3.3
การเกิดความสมดุล (equilibration )

ทฤษฎีจิตวิเคราะของฟรอยด์
(Freudian Psychoanalytic
Theory)
ซิกมันด์
ฟรอยด์ (Sigmund
Freud) เป็นบิดาของกลุ่มทฤษฎีจิตวิเคราะห์
และเป็นผู้ตั้งทฤษฎีที่เกี่ยวกับบุคลิกภาพเรียกว่า “ทฤษฎีจิตวิเคราะห์เกี่ยวกับบุคลิกภาพ”
(psychoanalytic theory of presonality) ขึ้น ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ ฟรอยด์ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของมนุษย์ว่า เป็นผลเกิดมาจากความดิ้นรนพยายาม
ระหว่างแรงขับอันเกิดจากภายในร่างกาย (Inner
physiological drivers) ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เช่น ความหิว อารมณ์เพศ และความก้าวร้าว เป็นต้น กับความกดดันทางสังคม (social pressure) ที่เป็นตัวคอยขัดขวาง
เพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติเป็นไปตามกฎหมายระเบียบ
ข้อบังคับและศีลธรรมจรรยาที่ดีงาม
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพ (Personality theories) มีมากมายหลายทฤษฎี แต่ในที่นี้จะขอนำมากล่าวพอเป็นสังเขปเพียงบางทฤษฎีที่สำคัญ ดังนี้
1. ทฤษฎีจิตวิเคราะของฟรอยด์ (Freudian
Psychoanalytic Theory)
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นบิดาของกลุ่มทฤษฎีจิตวิเคราะห์ และเป็นผู้ตั้งทฤษฎีที่เกี่ยวกับบุคลิกภาพ เรียกว่า “ทฤษฎีจิตวิเคราะห์เกี่ยวกับบุคลิกภาพ” (psychoanalytic
theory of presonality) ขึ้น ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ ฟรอยด์ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของมนุษย์ว่า เป็นผลเกิดมาจากความดิ้นรนพยายาม
ระหว่างแรงขับอันเกิดจากภายในร่างกาย (Inner
physiological drivers) ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เช่น ความหิว อารมณ์เพศ และความก้าวร้าว เป็นต้น กับความกดดันทางสังคม (social
pressure) ที่เป็นตัวคอยขัดขวาง
เพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติเป็นไปตามกฎหมายระเบียบ
ข้อบังคับและศีลธรรมจรรยาที่ดีงาม (Mowen and Minor.1998:202)
ฟรอยด์ เชื่อว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์ มีแรงจูงใจมาจากจิตไร้สำนึก
ซึ่งมักจะผลักดันออกมาในรูปความฝัน การพูดพลั้งปาก
หรืออาการผิดปกติทางด้านจิตใจในด้านต่างๆ เช่น โรคจิต โรคประสาท เป็นต้นยัง
เชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับแรงขับทางสัญชาตญาณ (Instinctual
drive) และเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนที่ได้
จิตจึงเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงและไม่หยุดนิ่ง
บ้างจะแสดงออกมาในรูปแบบของสัญชาตญาณทางเพศ (Sexual Instinct) แต่ฟรอยด์ไม่ได้หมายถึง ความต้องการทางเพศ นอกจากนี้
ฟรอยด์ยังได้อธิบายว่าสัญชาตญาณจะแสดงออกมาในรูปของพลังทางจิตที่เกี่ยวข้องกับพลังขับทางเพศเรียกว่า
พลังลิบิโด (Libido)เป็นพลังที่ทำให้มนุษย์
การทำงานของจิต แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1. จิตไร้สำนึก (Unconscious Mind)การแสดงพฤติกรรมของมนุษย์โดยออกไปโดยไม่รู้ตัว
ที่เกิดมาจากพลังของจิตไร้สำนึกซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงออกไปตามหลักแห่งความพึงพอใจของตน
และการทำงานของจิตไร้สำนึกเกิดจากความปรารถนา หรือความต้องการของบุคคลที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก
ที่ไม่ได้รับการยอมรับ เช่น การถูกห้าม หรือถูกลงโทษ จะถูกเก็บกดไว้ในจิตส่วนนี้
2. จิตสำนึก (Conscious Mind) บุคคลรับรู้ตามประสาทสัมผัสทั้งห้า
ที่บุคคลจะมีการรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ คิดอย่างไรเป็นการรับรู้โดยทั่วไปของมนุษย์
ที่ควบคุมการกระทำส่วนใหญ่ให้อยู่ในระดับรู้ตัว (Awareness) และเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมา โดยมีเจตนาและมีจุดมุ่งหมาย
3. จิตก่อนสำนึก (Preconscious Mind) เป็นส่วนของประสบการณ์ที่สะสมไว้ หรือเมื่อบุคคลต้องการนำกลับมาใช้ใหม่ก็สามารถระลึกได้และสามารถนำกลับมาใช้ในระดับจิตสำนึกได้
และเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ชิดกับจิตรู้สำนึกมากกว่าจิตไร้สำนึก
จะเห็นได้ว่าการทำงานของจิตทั้ง 3 ระดับจะมาจากทั้งส่วนของจิตไร้สำนึกที่มีพฤติกรรม
ส่วนใหญ่เป็นไปตามกระบวนการขั้นปฐมภูมิ (Primary Process)เป็นไปตามแรงขับสัญชาตญาณ
(Instinctual Drives) และเมื่อมีการรับรู้กว้างไกลมากขึ้นจากตนเองไปยังบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม
พลังในส่วนของจิตก่อนสำนึกและจิตสำนึก จะพัฒนาขึ้นเป็นกระบวนการขั้นทุติยภูมิ (Secondary
Process)
ฟรอยด์ ได้อธิบายว่า มนุษย์มีจิต 3 ระดับ คือ
(1) จิตสำนึก
(Conscious mind)
(2) จิตก่อนสำนึก หรือจิตใต้สำนึก (Preconscious or Subconscious
mind) และ
(3) จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) เป็นตัวคอยควบคุมกำกับพฤติกรรมของมนุษย์ให้แสดงพฤติกรรมออกมาต่าง
ๆ นานา
ฟรอยด์กล่าวว่า พลังผลักดันที่เป็นแรงขับให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมาจากจิตไร้สำนึก จึงไม่ได้ผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ
จากความคิดที่ว่าบุคคลเกิดการรับรู้เพียงส่วนน้อยที่เกี่ยวกับแรงผลักดันภายใน ที่จูงใจให้เกิดการกระทำ จึงเป็นจุดเปลี่ยนความคิดที่สำคัญอันยิ่งใหญ่ต่อการเข้าใจบุคลิกภาพของมนุษย์ (Rathus, quoted in Mowen and
Minor.1998:202)
โครงสร้างของบุคลิกภาพ (Structure of personality)
ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
เพื่อการอธิบายทำความเข้าใจงานเข้า ฟรอยด์ ได้บัญญัติศัพท์เฉพาะขึ้นมาเพื่ออธิบายโครงสร้างบุคลิกภาพว่า ประกอบด้วยองค์ประกอบที่เป็นระบบ 3 อย่าง คือ อิด (id) อีโก (ego) และซุปเปอร์อีโก (superego) ระบบทั้ง 3 อย่างนี้จะรวมกันเข้าเป็นโครงสร้างของบุคลิกภาพขึ้น
แต่จะต้องเข้าใจว่าโอยแท้จริงแล้ว ระบบทั้ง 3 อย่างนี้ไม่อาจแยกเป็นส่วน ๆ ได้เป็นเพียงองค์ประกอบโครงสร้างของจิตตามสมมติฐานเท่านั้น
ไม่ใช่ตามสภาพทางสรีระของมนุษย์ ระบบของจิตทั้ง 3 อย่าง
ดังกล่าวอธิบายได้ ดังนี้
1. อิด (Id หรือ libido) หมายถึง
แรงขับทางร่ายกายที่กำกับบุคคลให้กระทำการต่าง ๆ ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด
และเป็นตัวกระตุ้นที่ค่อนข้างรุนแรง อันเกิดจากภาวะของจิตไร้สำนึกเปรียบได้กับกิเลส ตัณหา หรือโลภ ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
อิดจึงเป็นแรงกระตุ้นดิ้นรนขวนขวายที่จะประพฤติปฏิบัติ
ไปตามหลักที่เรียกว่า “หลักแห่งความพอใจ” (pleasure principle) นั่นคือเพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด (avoid
tension) และแสวงหาความพึงใจในทันที เพื่อว่าความรู้สึกและอารมณ์ที่จะได้รับเป็นไปในทางบวก
แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะของจิตที่คิดไปนั้น
อยู่ระดับจิตไร้สำนึกหรือไม่รู้สึกตัว
ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ไม่อาจจะกระทำได้อย่างเต็มที่
จะเห็นได้ว่าความคิดของจิตที่เกิดขึ้นในบัดดลฉับพลันหลายๆ อย่าง ไม่อาจจะรับหรือปฏิบัติได้ในสังคมที่เจริญ ที่มีระเบียบแบบแผน ตัวอย่างเช่น
เมื่อบุคคลเกิดความรู้สึกร้อนและกระหายน้ำ จิตของบุคคลนั้นก็จะกระตุ้นให้บุคคลนั้นไปหยิบหรือฉกฉวยอะไรบางอย่างที่เย็น ๆ มาดื่ม โดยจะไม่คำนึงถึงว่าจำเป็นจะต้องซื้อ
หรือใครเป็นเจ้าของหรือไม่ (Loudon and Della
Bitta.1993:301)
2. อีโก (Ego) หมายถึง จิตที่รู้สำนึก ที่ก่อตัวและพัฒนาขึ้นมาเมื่อเด็กเจริญเติบโต เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้
และความรู้สึกนึกคิด จากการเรียนรู้และประสบการณ์ที่สั่งสม จึงทำให้อีโกได้รับการพัฒนาจนทำให้บุคคลมีความสามารถ ในการคิดที่อยู่ในวิสัยแห่งความเป็นจริง (realistic
thinking) รวมทั้งมีความสามารถเผชิญกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม
รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรกระทำ
จึงทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นนักบริหารหรือเป็นผู้จัดการของอิด (a manager for the id) โดยอีโกจะเป็นผู้เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม
เพื่อสนองความต้องการตามสัญชาตญาณให้เกิดความพอใจ
โดยยึดถือความเป็นจริงมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา เนื่องจากจิตได้กำหนดความต้องการขึ้นมากจนเกินไป
อีโกจึงจัดลำดับความสำคัญให้อยู่ในวิสัยที่สามารถจัดการได้โดยยึดถือความสำคัญของความต้องการแต่ละอย่างเป็นหลัก รวมทั้งคอยขัดขวางยับยั้งควบคุมให้อิดแสดงออกที่เหมาะสม (Onkvisit
and Show.1994:108)
ดังนั้นจังเห็นได้ว่า การปฏิบัติการของอีโก
จึงเป็นการปฏิบัติตามหลักที่เรียกว่า “หลักแห่งความเป็นจริง”
(Reality principle) นั่นคือ
ความสามารถที่จะเลื่อนเวลาปลดปล่อยความเครียดออกไปได้
จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม จากตัวอย่างข้างต้น แม้ว่าบุคคลจะเกิดความหิว ซึ่งอิดอาจจะกระตุ้นให้แย่งชิงอาหารจากเพื่อน แต่อีโกก็จะห้ามปรามเอาไว้โดยให้เหตุผลว่า
เป็นสิ่งไม่ควรปฏิบัติเพราะน่าเกลียดแสดงให้เห็นถึงความตะหละและป่าเถือน จึงควรหักห้ามใจเอาไว้รอเวลาอีกหน่อยอาจจะได้รับอาหารมากกว่านี้ เป็นต้น
3. ซุปเปอร์อีโก (Superego)
หมายถึง องค์ประกอบส่วนที่สามของบุคลิกภาพเป็นส่วนของจิตที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของศีลธรรมจรรยา
และระเบียบประเพณีของสังคม
หรือเป็นมโนธรรมที่อยู่ในจิตของแต่ละบุคคล
อันเกิดจากการเลี้ยงดูอบรมของครอบครัวและสังคม สามารถแยกออกได้ว่าอะไรคือ ความถูกต้องและเป็นสิ่งดีงาม อะไรควรหรือไม่กระทำ
จึงทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมทั้งอิดและอีโก
เพื่อให้อีโกประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในทำนองคลองธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่ปฏิบัติตามที่จิตเรียกร้องทุกอย่าง
ความสัมพันธ์กันระหว่างพลังจิตทั้ง 3
ส่วนนี้ นักจิตวิทยาบางท่านได้เปรียบเทียบไว้ว่า อิดเปรียบเสมือนส่วนประกอบพื้นฐานของบุคลิกภาพทางด้านชีววิทยา
ส่วนอีโก เปรียบเสมือนส่วนประกอบของบุคลิกภาพทางด้านจิตใจ และซุปเปอร์อีโก เปรียบได้กับส่วนประกอบของบุคลิกภาพทางด้านสังคม (นิภา นิธยายน.2530:39) บุคลิกภาพของคนจะมีลักษณะเช่นใดนั้น จึงขึ้นอยู่กับพลังใดมีอำนาจถ้าอิดมีอำนาจสูง
บุคคลนั้นก็จะมีบุคลิกภาพแบบเด็ก เอาแต่ใจตนเอง ถ้าอีโกมีอำนาจสูง บุคคลนั้นก็จะมีบุคลิกภาพแบบผู้ใหญ่มีเหตุผล
ถ้าซุปเปอร์อีโกมีอำนาจสูง
คนนั้นก็จะเป็นคนมีอุดมคติเป็นนักทฤษฎี (ปรีชา วิหคโต.2533:242) ความสัมพันธ์ของพลังจิตทั้ง 3
ส่วน จึงสรุปได้ว่า อีโก เป็นหน่วยปฏิบัติการ
เป็นตัวกลางในการแสดงออกซึ่งบุคลิกภาพ และจะปฏิบัติตามแรงผลักดันของอิด โดยมีซุปเปอร์อีโกเป็นผู้ควบคุม
กลไกป้องกันตัว (Defense
mechanism)
จากที่กล่าวมาแล้ว อีโกพยายามที่จะสนองความต้องการของจิต
แต่มีบางอย่างที่อีโกไม่สามารถตอบสนองได้
เนื่องจากขัดกับมโนธรรมสำนึกในซุปเปอร์อีโก จนนำไปสู่การขัดแย้งจนไม่สามารถหาทางแก้ได้ จึงทำให้บุคคลตกอยู่ใน “ภาวะความเครียด” (tension) กลไกการป้องกันตัวจึงเข้ามามีบทบาท เพื่อหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีภาวะความเครียดที่รุนแรง
อันเกิดจากความขัดแย้งขององค์ประกอบของบุคลิกภาพ
ดังกล่าว
กลไกป้องกันตัว
หรือการปรับตัวมีมากมายหลายวิธี
แต่จะขอนำมากล่าวเพียงบางวิธีที่สำคัญ ดังนี้ (Loudon and Della Bitta.1993ซ302)
(1) การเก็บกด (Repression) เป็นวิธีพื้นฐานเพื่อปกปิดความขัดแย้งเอาไว้ เพื่อไม่ให้แสดงออกมา
เพราะหากแสดงพฤติกรรมออกมาจะถูกสังคมตำหนิได้
ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ที่นั่งดูกีฬาที่ตื่นเต้น
ซึ่งโดยจิตใจที่แท้จริงแล้วอยากที่จะแสดงอาการเชียร์อย่างเต็มที่
แต่เกรงจะถูกตำหนิว่า ทำตัวไม่เหมาะสมกับฐานที่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สำรวม จึงเพียงแต่นั่งดูกีฬาเฉย ๆ
(2) การป้ายความผิดให้กับผู้อื่น (Projection)
เป็นการบิดเบียนความรู้สึกอันเกิดจากความต้องการของตนเองที่ไม่ดีไปให้บุคคลอื่น ตัวอย่างเช่น
คนที่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัว มักจะตำหนิคนอื่นว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว เพื่อตนเองจะได้รู้สึกสบายใจ
ที่มีคนอื่นเห็นแก่ตัวเหมือนกับตน
(3) การยึดถือผู้อื่นเป็นแบบอย่าง (Identification)
เป็นการเลียนแบบพฤติกรรมของผู้อื่นที่
ตนเชื่อว่า
เขามีความสามารถที่จะจัดการกับความขัดแย้ง เช่นเดียวกับความขัดแย้งที่ตนเผชิญอยู่ได้ประสบผลสำเร็จ เช่น การเลียนแบบพ่อหรือแม่ เป็นต้น
(4) แสดงพฤติกรรมตรงกันข้ามกับความรู้สึก (Reaction
formation) เป็นการแสดงพฤติกรรมตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่ตนมีในใจ ตัวอย่างเช่น ผู้ชายหลงรักผู้หญิง แต่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้หญิง จึงแสดงพฤติกรรมทำเป็นไม่สนใจด้วย
ซึ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึก เป็นการหลอกตนเองเพื่อป้องกันศักดิ์ศรี
2. ทฤษฎีฟรอยด์ยุคใหม่ (Neo – Freudian theory)
จากทฤษฎีของฟรอยด์ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
ในระยะต่อมาปรากฏว่าผู้ร่วมงานและลูกศิษย์ของฟรอยด์บางคนไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของฟรอยด์บางประการ
โดยเฉพาะความคิดที่ว่า บุคลิกภาพของคน
ซึ่งฟรอยด์เน้นว่าเกิดจากสัญชาตญาณความต้องการทางเพศ (sexual
instincts) กลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า “กลุ่มทฤษฏีฟรอยด์ยุคใหม่” (Neo –
Freudians) มีแนวความคิดที่แตกต่างออกไปใน 2 ประเด็น ที่สำคัญคือ
(1) พวกเขาเชื่อว่าปัจจัยตัวแปรทางด้านสังคมและวัฒนธรรม (social and cultural variables) มีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของคนมากกว่าแรงขับทางด้านชีววิทยา (biological drives) เสียอีก
(2) การศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพของฟรอยด์ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการสังเกตจากคนในขณะที่ได้รับการรบกวนทางอารมณ์เป็นพื้นฐาน ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าการหยั่งรู้การพัฒนาบุคลิกภาพของคนอย่างแท้จริง ควรจะใช้วิธีการสังเกตคนในขณะที่เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมตามปกติของเขาควบคู่ไปด้วย (Assael.1998:450) ตามแนวความคิดของคนกลุ่มนี้ทำให้เกิดทฤษฎีใหม่เรียกว่า “ทฤษฎีสังคมและวัฒนธรรม” (social/cultural theories) ขึ้น
(1) พวกเขาเชื่อว่าปัจจัยตัวแปรทางด้านสังคมและวัฒนธรรม (social and cultural variables) มีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของคนมากกว่าแรงขับทางด้านชีววิทยา (biological drives) เสียอีก
(2) การศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพของฟรอยด์ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการสังเกตจากคนในขณะที่ได้รับการรบกวนทางอารมณ์เป็นพื้นฐาน ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าการหยั่งรู้การพัฒนาบุคลิกภาพของคนอย่างแท้จริง ควรจะใช้วิธีการสังเกตคนในขณะที่เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมตามปกติของเขาควบคู่ไปด้วย (Assael.1998:450) ตามแนวความคิดของคนกลุ่มนี้ทำให้เกิดทฤษฎีใหม่เรียกว่า “ทฤษฎีสังคมและวัฒนธรรม” (social/cultural theories) ขึ้น
บุคคลกลุ่มนี้มีวิธีจำแนกบุคลิกภาพคน
โดยอาศัยปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมไว้แตกต่างกันแต่ที่ได้รับการยอมรับค่อนข้างมาก ขอนำมากล่าวเพียง 3 ท่าน คือ คาร์ลจุง (Carl
Jung) คาเรน ฮอร์นนีย์ (Kare Horney ) และเดวิด ไรส์แมน (David Riesman)
คาร์ลจุง (Carl Jung)
จุง
มีความเชื่อในเรื่องแรงจูงใจทางเพศน้อยกว่าฟรอยด์ เขาเชื่อว่าคนเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2
กลุ่ม คือ “กลุ่มเก็บตัว” (introverts) ได้แก่ พวกที่ชอบเก็บตัวเองเงียบ ๆ
อยู่ในโลกส่วนตัวของเขาลักษณะของพวกเก็บตัวจะมีนิสัยขี้อาย ชอบอยู่คนเดียว
และรู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจเมื่ออยู่กับผู้อื่น ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งในทางตรงกันข้าม คือ “กลุ่มเปิดเผย”
(extroverts) หรือไม่เก็บตัว
ได้แก่ พวกที่ชอบคบหาสมาคมกับผู้อื่น
ก้าวออกสู่โลกภายนอกและชอบออกสังคม (Hoyer and
Maclnnis.1997:424) แต่อย่างไรก็ตาม
นักวิชาการบางท่านเห็นว่าโดยแท้จริงแล้วจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ระหว่างกลาง ระหว่างพวกไม่เก็บตัวกับเก็บตัว เรียกว่า “กลุ่มเป็นกลาง” (ambiverts) ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในสังคมทั่วไป
คาเรน ฮอร์นนีย์ (Kare Horney)
ฮอร์นนีย์
เป็นนักทฤษฏีสังคมอีกผู้หนึ่ง
เธอมีความเชื่อว่าบุคลิกภาพได้รับการพัฒนาตั้งแต่เมื่อเด็กเกิดการเรียนรู้ที่จะเอาชนะความกังวลใจต่าง
ๆ อันเกิดจากเด็กได้มีความสัมพันธ์กับพ่อแม่
ตามแนวความคิดของฮอร์นนีย์
การจัดประเภทของคนแบ่งตามลักษณะ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบคือ
(Onkvisit and Shaw.1994:112)
(1) พวกอ่อนน้อมถ่อมตน (Compliant
persons) เป็นพวกนิยมคล้อยตามผู้อื่น ไม่ชอบขัดใจใคร
ชอบเข้าหาผู้อื่นเพื่อขอคำแนะนำขอความช่วยเหลือ
ลักษณะสำคัญของกลุ่มนี้ คือ ความดี ความเห็นอกเห็นใจกัน ความรัก ความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว และความนอบน้อมถ่อมตน พวกนี้จะไม่ชอบบุคคลทีแสดงออก เห็นแก่ตัว ก้าวร้าว ระรานและแสวงหาอำนาจ
(
(2) พวกก้าวร้าว (Aggressive
persons) ปกติจะเป็นพวกต่อต้านผู้อื่น ต้องการอำนาจบารมี
ไม่ต้องการขอความช่วยเหลือจากใคร มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง (self –
confident) และมีจิตใจที่แข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว (tough –
minded) ( Hoyer and Maclnnis.1997:426)
(3) พวกถือสันโดษ (Detached
persons) กลุ่มนี้ชอบหลีกหนีจากผู้คนไม่ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใคร
ชอบเป็นตัวของตัวเอง ชอบมีอิสระภาพและไม่อยากที่จะแสดงความสามารถของตนอวดผู้อื่น แม้ว่าคนเองเชื่อว่าตนมีความสามารถก็ตาม
เดวิด ไรส์แมน (David Riesman)
ไรส์แมน ได้ใช้ลักษณะทางสังคมและค่านิยม มาใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งบุคลิกภาพของคน โดยแบ่งคนออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้คือ
(1) พวกยึดถือขนบธรรมเนียมดั้งเดิม (Tradition – directed persons) ได้แก่ พวกที่ชอบประพฤติปฏิบัติไปตามแบบอย่างที่เคยปฏิบัติกันมา กลุ่มคนพวกนี้จะขอคำแนะนำจากผู้ใหญ่ผู้สูงอายุมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติและโดยทั่วไปจะขัดขืนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อ จะยึดถือนิสัยความเคยชินเป็นหลัก และจะไม่เป็นผู้นำทางแฟชั่น (fashion leader)(2) พวกยึดถือตัวเองเป็นหลัก (Inner - directed persons) ได้แก่ พวกที่มีระบบค่านิยมของตนเอง มาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดพฤติกรรมต่าง ๆ ปฏิบัติกิจกรรมตามคำบัญชาของตนเองอย่างเหนี่ยวแน่น มีความเป็นอิสระและผู้อื่นจะมามีอิทธิพลจูงใจได้ยาก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
(3) พวกยึดถือผู้อื่นเป็นแบบอย่าง (Other - directed persons) ได้แก่ พวกชอบทำตามผู้อื่นทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าเขาต้องการความคุ้มครอง ความปลอดภัย และความรักจากกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ที่มีต่อเขา บุคคลพวกนี้จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ตามแฟชั่น (fashion followers) จึงนิยมซื้อผลิตภัณฑ์ตามอย่างกลุ่ม
พัฒนาการทางบุคลิกภาพ
ฟรอยด์ ได้อธิบายถึงการพัฒนาการทางบุคลิกภาพ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการทางเพศ (Stage of Psychosexual Development) จากความเชื่อเกี่ยวกับสัญชาตญาณทางเพศในเด็กทารกที่แสดงออกมาในรูปพลังของ ลิบิโด (Libido) และสามารถเคลื่อนที่ไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายและบริเวณที่พลังลิบิโดไปรวมอยู่เรียกว่า ที่ของความรู้สึกพึงพอใจ (Erogeneous Zone) เมื่อพลังลิบิโดไปอยู่ในส่วนใดก็จะก่อให้เกิดความตึงเครียด (Tension) ซึ่งฟรอยด์ แบ่งการพัฒนาบุคลิกภาพออกเป็น 5 ขั้น ได้แก่
1. ขั้นปาก (Oral Stage) เริ่มตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 ขวบ ในวัยนี้ Erogenous Zone จะอยู่บริเวณปาก การได้รับการกระตุ้น หรือเร้าที่ปากจะทำให้เด็กเกิดความพึงพอใจ ทำให้เด็กตอบสนองความพึงพอใจของตนเองโดยการดูด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดูดนมแม่จึงเป็นความสุขและความพึงพอใจของเขา
2. ขั้นทวารหรือขั้นอวัยวะขับถ่าย (Anal Stage) เด็กจะมีอายุตั้งแต่ 1-3ขวบ ในวัยนี้ Erogenous Zone จะอยู่ที่บริเวณทวาร โดยที่เด็กจะมีความพึงพอใจเมื่อมีสิ่งมากระตุ้น หรือเร้าบริเวณทวารในระยะนี้เด็กเริ่มเป็นตัวของตัวเอง เริ่มมีความพึงพอใจกับความสามารถในการควบคุมอวัยวะของตนเอง โดยเฉพาะอวัยวะขับถ่าย กิจกรรมที่เด็กมีความสุขจะเกี่ยวข้องกับการกลั้นอุจจาระ (Anal Retention) และการถ่ายอุจจาระ (Anal Expulsion) ความขัดแย้งที่มักเกิดขึ้นในขั้นนี้คือ การฝึกหัดการขับถ่าย(Toilet) Training ดังนั้น ถ้าพ่อแม่เลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่ และฝึกการขับถ่ายให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
3. ขั้นอวัยวะเพศตอนต้น (Phallic Stage) เริ่มตั้งแต่ 3 - 5 ขวบ ในขั้นนี้ Erogenous Zone จะอยู่ที่อวัยวะเพศ โดยที่เด็กเกิดความรู้สึกพึงพอใจกับการจับต้องอวัยวะเพศ เพราะมีความพึงพอใจทางเพศอยู่ที่ตนเองในระยะแรก ถ้าเด็กมีเพศตรงข้ามกับพ่อแม่เด็ก จะทำให้เด็กชายรักใคร่ และหวงแหนแม่จึงเกิดความรู้สึกอิจฉา เด็กหญิงจะรักใคร่และหวง แหนพ่อ จึงรู้สึกอิจฉาและเป็นศัตรูกับแม่
4. ขั้นแฝง (Latency Stage) เริ่มตั้งแต่ อายุ 6 – 12 ปี ในขั้นนี้ Erogenous
Zone จะไม่ปรากฏอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโดยเฉพาะ
เสมือนขั้นแฝงของพลัง Libido เป็นระยะพักในเรื่องเพศ
และจินตนาการทางเพศ
5. ขั้นอวัยวะเพศตอนปลาย (Genital
Stage) เริ่มจาก 12 ขวบเป็นต้นไป
ในระยะนี้เด็กจะเข้าสู่วัยรุ่น ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่และวัยชรา โดยมีErogonous
Zone จะมาอยู่ที่อวัยวะเพศ (Genitel Area) เมื่อเด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั้งหญิงและชายต่างๆ
กัน และมีพัฒนาการทางร่างกายมีความสามารถในการสืบพันธุ์
ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ มีความต้องการทางเพศอย่างรุนแรง
ต้องการเป็นตัวของตัวเอง ต้องการเป็นอิสระ

ทฤษฎีพัฒนาการทางจิต-สังคม ของอีริคสัน
อีริคสัน
เป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์ได้สร้างทฤษฎีขึ้นในแนวทางความคิดของฟรอยด์
แต่ได้เนินความสำคัญทางด้านสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมด้านจิตใจ (Psychological
Environment) ว่ามีบทบาทในพัฒนาการบุคลิกภาพมาก ความคิดของอีริคสันต่างกับฟรอยด์หลายประการ
เป็นต้นว่า เห็นความสำคัญของEgo มากกว่า Id และถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น
แต่ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตคือ วัยชรา และตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
บุคลิกภาพของคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
แนวคิด
แต่ละคนจะมีประสบการณ์กับวิกฤตภายในเชื่อมโยงกับแต่ละขั้นของชีวิต
(จิตวิทยาสังคม) 8 ครั้ง ซึ่งในสามขั้นแรกถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดซึ่งเกิดในช่วงปฐมวัย คือ
ขั้นที่ 1 การเชื่อใจ-การไม่เชื่อใจ ขั้นที่ 2 การเป็นตัวของตัวเอง-ความละอายใจและความสงสัย ขั้นที่3 การคิดริเริ่ม-การรู้สึกผิด
อีริคสัน Psychosocial
• เน้นปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
• ถ้าปฏิสัมพันธ์ไม่ดีส่งผลต่อการปรับตัวของสุขภาพจิต
• แบ่งพัฒนาการทางบุคลิกภาพ
8 ขั้น
1. 1-2 ขวบ ไว้ใจ หรือไม่ไว้ใจ
2. 2-3 ขวบ เป็นอิสระหรือละอายสงสัย
3. 4-5 ขวบ คิดริเริ่ม หรือรู้จักผิด
4. 6-11 ขวบ
ขยัน หรือมีปมด้อย
5. 11-18 ปี
เข้าใจบทบาทของตัวเอง หรือ สับสนในบทบาทของตัวเอง
6. 20-35 ปี ผูกพัน หรือตีตัวออกห่าง
7. 36-45 ปี ให้กำเนิด หรือหมกมุ่นในตัวเอง
8. 45 ขึ้นไป มีศักดิ์ศรี หรือหมดหวัง
ทฤษฎีจิตสังคม
(PsychologicalTheory) ได้แบ่งพัฒนาทางบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 ความไว้วางใจ – ความไม่ไว้วางใจ (Trust vs Mistrust)
ซึ่งเป็นขั้นในวัยทารก อีริควันถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป เด็กวัยทารกจำเป็นจะต้องมีผู้เลี้ยงดูเพราะช่วยตนเองไม่ได้ ผู้เลี้ยงดูจะต้องเอาใจใส่เด็ก ถึงเวลาให้นมก็ควรจะให้และปลดเปลื้องความเดือดร้อน ไม่สบายของทารกอันเนื่องมาจากการขับถ่าย เป็นต้น

ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ – ความสงสัยไม่แน่ใจตัวเอง (Autonomous vs Shame and Doubt) อยู่ในวัยอายุ 2-3 ปี วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้ สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตของร่ายการช่วยให้เด็กมีความอิสระ พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้องสิ่งของต่างๆ เพื่อต้องการสำรวจว่าคืออะไร เด็กเริ่มที่อยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
ขั้นที่ 3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม – การรู้สึกผิด (Initiative vs Guilt)
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเองจากจินตนาการของตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ จะสนุกจากการสมมติของต่างๆ เป็นของจริง เช่น อาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ ขับรถยนต์เหมือนผู้ใหญ่
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเองจากจินตนาการของตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ จะสนุกจากการสมมติของต่างๆ เป็นของจริง เช่น อาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ ขับรถยนต์เหมือนผู้ใหญ่

ขั้นที่ 4 ความต้องการที่จะทำกิจกรรมอยู่เสมอ – ความรู้สึกด้อย (Industry vs Inferiority)
อีริคสันใช้คำว่า Industry กับเด็กอายุประมาณ 6-12 ปี เนื่องจากเด็กวัยนี้มีพัฒนาการด้านสติปัญญาและทางด้านร่างกาย อยู่ในขั้นที่มีความต้องการที่จะอะไรอยู่เมือไม่เคยว่าง

ขั้นที่ 5 อัตภาพหรือการรู้จักว่าตนเองเป็นเอกลักษณ์ – การไม่รู้จักตนเองหรือสับสนในบทบาทใน
สังคม (Ego Identity vs Role Confusion) อีริคสันกล่าวว่า เด็กในวัยนี้ที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี จะรู้สึกตนเองว่า มีความเจริญเติบโต โดยเฉพาะทางด้านร่างกายเหมือนกับผู้ใหญ่ทุกอย่าง ร่างกายเปลี่ยแปลงอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงทางเพศทั้งหญิงและชาย เด็กวัยรุ่นจะมีความรู้สึกในเรื่องเพศและบางคนเป็นกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว (Intimacy vs Isolation) วัยนี้เป็นวัยผู้ใหญ่ระยะต้น (Young dulthood) เป็นวัยที่ทั้งชายและหญิงเริ่มที่จะรู้จักตนเองว่ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไร
เป็นวัยที่พร้อมที่จะมีความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศในฐานะเพื่อนสนิทที่จะเสียสละให้กันและกัน
รวมทั้งสามารถยินยอมเห็นใจซึ่งกันและกันโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย
และมีความคิดตั้งตนเป็นหลักฐานหรือคิดสนใจที่จะแต่งงานมีบ้านของตนเอง

ขั้นที่ 7 ความเป็นห่วงชนรุ่นหลัง – ความคิดถึงแต่ตนเอง (Generativity vs Stagnation)
อีริควันอธิบายคำว่า Generativity ว่าเป็นวัยที่เป็นห่วงเพื่อนร่วมโลกโดยทั่วไป หรือเป็นห่วงเยาวชน
รุ่นหลัง อยากจะให้ความรู้ สั่งสอนคนรุ่นหลังต่อไป คนที่แต่งงานมีบุตรก็สอนลูกหลายคนที่ไม่แต่งงาน
ถ้าเป็นครูก็สอนลูกศิษย์ ถ้าเป็นนายก็สอนลูกน้อง หรือช่วยทำงานทางด้านศาสนา เพื่อที่จะปลูกฝังให้
คนรุ่นหลังเป็นคนดีต่อไป

ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง – ความสิ้นหวังและความไม่พอใจในตนเอง (Ego Integrity vs Despair)
วัยนี้เป็นระยะบั้นปลายของชีวิต ฉะนั้น บุคลิกภาพของคนวัยนี้มักจะเป็นผลรวมของวัย 7 วัยที่ผ่านมา
ผู้มีอาวุโสบางท่านยอมรับว่าได้มีชีวิตที่ดีและได้ทำดีที่สุด ยอมรับว่าตอนนี้แก่แล้วและจะมีชีวิตอยู่อย่างมี
ความสุข จะเป็นนายของตนเองและมีความพอใจในสภาพชีวิตของตน ไม่กลัวความตาย พร้อมที่จะตาย
ยอมรับว่าคนเราเกิดมาแล้วก็จะต้องตาย


ทฤษฎีการเรียนรู้ตามเเนวคิดของ
เจโรม บรูเนอร์
เจโรม บรูเนอร์ เกิดในเมืองนิวยอร์ค ในปี
ค.ศ. 1915 เป็นนักการศึกษา
และนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งผลงานส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผลงานของเปียเจต์ บรูเนอร์มีความสนใจในเรื่องพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็ก บรูเนอร์มีความเชื่อว่า “ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติ
และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองทั้งนี้โดยมีพื้นฐานอยู่บนประสบการณ์หรือความรู้เดิม ” บรูเนอร์ได้จัดลำดับขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กหรือโครงสร้างทางสติปัญญาเป็น
3 ขั้น
ขั้นที่ 1 Enactive
representationขั้นที่1 Enactive representation (แรกเกิด – 2 ขวบ
)
ในวัยนี้ เด็กจะมีการพัฒนาการทางสติปัญญา โดยใช้การกระทำเป็นการเรียนรู้
หรือเรียกว่า (Enactive mode) เด็กจะใช้การสัมผัส
เช่น จับต้องด้วยมือ ผลัก ดึง สิ่งที่สำคัญเด็กจะต้องลงมือกระโดดด้วยตนเอง เช่น
การเลียนแบบ หรือการลงมือกระทำกับวัตถุสิ่งของ ต่างกับผู้ใหญ่
ที่จะใช้ทักษะที่ซับซ้อน เช่น ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ
เป็นต้น


ขั้นที่ 2 Iconic
representationขั้นที่2 Iconic representation
ในพัฒนาทางขั้นนี้ จะเป็นการใช้ความคิด เด็กสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ
ที่เกิดจากการมองเห็น การสัมผัส โดยการนึกมโนภาพ การสร้างจินตนาการ
พัฒนาการนี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุของเด็ก ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งสร้างจินตนาการได้มากขึ้น
การเรียนรู้ในขั้นนี้เรียกว่า Iconic mode เด็กจะสามารถเรียนรู้โดยการใช้ภาพแทนการสัมผัสของจริง
บรูเนอร์ได้เสนอแนะ ให้นำโสตทัศนวัสดุมาใช้ในการสอน เช่น บัตรคำ ภาพนิ่ง
เพื่อที่จะช่วยเสริมสร้จินตนาการให้กัยเด็ก

ขั้นที่ 3 Symbolic
representationขั้นที่3 Symbolic representation ในพัฒนาการทางขั้นนี้
บรูเนอร์ถือว่าเป็นการพัฒนาการขั้นสูงสุดของความรู้ความเข้าใจ เช่น
การคิดเชิงเหตุผล หรือการแก้ปัญหา วิธีการเรียนรู้ขั้นนี้เรียกว่า Symbolic
mode ซึ่งผู้เรียนจะใช้ในการเรียนได้เมื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นนามธรรม

แนวคิดของบรูเนอร์ที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา
ขั้นพัฒนาการต่างๆที่บรูเนอร์เสนอไว้ได้นำไปสู่แนวความคิดในการจัดการศึกษาในระดับต่างๆ
ดังนี้
ระดับอนุบาลและระดับประถมต้น เด็กวัยอนุบาลจะอยู่ในระดับ Iconic representation ซึ่งการเรียนรู้ต่างๆ อยู่ในลักษณะของการกระทำโดยผ่านประสบการณ์ที่ได้พบเห็นและการรับรู้ต่างๆ
เด็กประถมต้นยังอยู่ในวัย Iconic
representation
ระดับประถมปลายเด็กในปลาย
มีพัฒนาจาก Iconic representation ไปสู่ symbolic representation ซึ่งสิ่งที่บรูเนอร์เน้นที่คล้ายคลึงกับแนวความคิดของเปียเจท์ในหลักการ
ทั่วไป
ระดับมัธยมศึกษา การใช้สัญลักษณ์ ( symbolic representation ) ของเด็กวัยนี้เป็นไปอย่างกว้างขึ้น ครูมีวิธีช่วยให้พัฒนาขึ้นไปอีกโดยการกระตุ้นให้ใช้ discovery approach โดยเน้นความเข้าใจ concept และสิ่งที่เป็นนามธรรมต่างๆ
แนวทางในการจัดการเรียนการสอน

บรูเนอร์ได้กล่าวถึงทฤษฎีในการจัดการเรียนการสอนว่าควรประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ
1. ผู้เรียนต้องมีแรงจูงใจภายใน
มีความอยากรู้ อยากเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว
2. โครงสร้างของบทเรียนซึ่งต้องจัดให้เหมาะสมกับผู้เรียน
3. การจัดลำดับความยาก-ง่ายของบทเรียนโดยคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน
4. การเสริมแรงของผู้เรียน
สรุป
บรูเนอร์มีความเห็นว่า คนทุกคนจะมีพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า acting, imaging และsymbolizing เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต มิใช่ว่าเกิดขึ้นเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งในระยะแรกๆของชีวิตเท่านั้น
ทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก (Kolberg)

โคลเบิร์ก (Kolberg) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยม
(cognitivism) ซึ่งมีความเชื่อพื้นฐานว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสมอง
สามารถเกิดการเรียนรู้ เพื่อการปรับตัวให้ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมได้
โดยนำแนวเชื่อทางชีววิทยามาประยุกต์กับศาสตร์ทางจิตวิทยา
แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิกของเพียเจต์ ( Piaget) คือ
เชื่อว่า จริยธรรมนั้นมีพัฒนาการตามระดับวุฒิภาวะเช่นกัน เพราะจริยธรรมของมนุษย์เกิดจากกระบวนการทางปัญญา
เมื่อมนุษย์มีการเรียนรู้มากขึ้น โรงสร้างทางปัญญาเพิ่มพูนขึ้น
จริยธรรมก็พัฒนาตามวุฒิภาวะ แนวคิดนี้เป็นแนวคิดแบบสัมพัทธนิยม (Relativism) ซึ่งเชื่อว่าจริยธรรมมีความสัมพันธ์กับอายุ กาลเวลา สถานที่ วัฒนธรรม
และสภาพการณ์ ซึ่งความหมายว่า “ความถูกต้อง” “ความดี” “ความงาม”
ขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ และองค์ประกอบอื่นๆ
นอกจากนี้โคลเบิร์ก (Kolberg) ยังได้ศึกษาวิจัย (Kolberg,
1964 : 383-432) โดยวิเคราะห์คำตอบของเยาวชนอเมริกัน อายุ 10-16 ปี
เกี่ยวกับเหตุผลในการเลือกทำพฤติกรรมอย่างหนึ่งในสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันระหว่างความต้องการส่วนบุคคลและกฎเกณฑ์ของกลุ่มหรือสังคม
และนำมาสรุปเป็นเหตุผลในการแบ่งจริยธรรมออกเป็น 6 ขั้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับๆ ละ
2 ขั้น ดังนี้
ระดับจริยธรรม
ระดับที่ 1 ระดับก่อนเกณฑ์สังคม (pre conventional level ) อายุ 2-10 ปี การที่เรียกระดับนี้ว่าก่อนเกณฑ์สังคม เพราะว่าเด็กในวัยนี้ยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์สังคม แต่จะรับกฎเกณฑ์ข้อกำหนดว่าอะไรดี ไม่ดี จากผู้มีอำนาจเหนือตน เช่น พ่อแม่ ครู หรือ เด็กที่โตกว่า จริยธรรมในระดับนี้ คือ หลีกเลี่ยงการลงโทษและคิดถึงผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ เช่น การแสวงหารางวัล
ระดับที่ 1 ระดับก่อนเกณฑ์สังคม (pre conventional level ) อายุ 2-10 ปี การที่เรียกระดับนี้ว่าก่อนเกณฑ์สังคม เพราะว่าเด็กในวัยนี้ยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์สังคม แต่จะรับกฎเกณฑ์ข้อกำหนดว่าอะไรดี ไม่ดี จากผู้มีอำนาจเหนือตน เช่น พ่อแม่ ครู หรือ เด็กที่โตกว่า จริยธรรมในระดับนี้ คือ หลีกเลี่ยงการลงโทษและคิดถึงผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ เช่น การแสวงหารางวัล
ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม
(conventional morality) ช่วงอายุระหว่าง 10-20 ปี
ผู้ที่อยู่ในช่วงอายุนี้ส่วนใหญ่สามารถที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์สังคมเพราะรู้ว่าเป็นกฎเกณฑ์
ระดับที่ 3 ระดับจริยธรรมเหนือกฎเกณฑ์สังคม (post conventional level) โดยปรกติคนจะพัฒนาขึ้นมาถึงระดับนี้
หลังจากอายุ 20 ปี แต่จำนวนไม่มากนัก จริยธรรมระดับนี้จะอยู่เหนือกฎเกณฑ์สังคม
กล่าวคือคนจะดีความหมายของหลักการและมาตรฐานทางจริยธรรมด้วยวิจารณญาณของตนเอง
วิเคราะห์ด้วยตนเองก่อน โดยคำนึกถึงความสำคัญและประโยชน์เสมอภาคในสิทธิมนุษยชน
โดยปรกติคนจะพัฒนาถึงระดับนี้มีจำนวนไม่มากนัก
ขั้นการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม
ขั้นที่ 1. การเชื่อฟังและการลงโทษ (obedience and punishment orientation) พฤติกรรม “ดี” คือ พฤติกรรมที่ทำแล้วได้รางวัล พฤติกรรม “ไม่ดี” คือพฤติกรรมที่ทำแล้งได้รับการลงโทษ
ขั้นที่ 1. การเชื่อฟังและการลงโทษ (obedience and punishment orientation) พฤติกรรม “ดี” คือ พฤติกรรมที่ทำแล้วได้รางวัล พฤติกรรม “ไม่ดี” คือพฤติกรรมที่ทำแล้งได้รับการลงโทษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น